ศาสนาอิสลามคืออะไร?
بسم الله الرحمن الرحيم
🌍🔵🔴
|
บทที่ 3
|
ศาสนาอิสลามคืออะไร?
ศาสนาอิสลามคือการยอมรับและปฏิบัติตามโอวาทคำสอนของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งพระองค์ทรงเปิดเผยต่อพระศาสดาองค์สุดท้ายของพระองค์ นั่นคือ พระมูหะหมัด นั่นเอง.
|
ความเชื่อพื้นฐานบางประการของศาสนาอิสลาม1) เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า:
ชาวมุสลิมเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าที่ไม่มีสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้ มีเอกลักษณ์เด่นพิเศษ เพียงพระองค์เดียว ผู้ซึ่งไม่มีพระบุตรหรือบริวาร และไม่มีผู้ใดมีสิทธิ์ที่จะได้รับการสักการบูชา นอกจากพระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้น พระองค์ทรงป็นพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง และพระเจ้าองค์อื่นเป็นของจอมปลอมทั้งสิ้น พระองค์ทรงมีพระนามที่ไพเราะ และมีพระจริยวัตรอันเพียบพร้อมงดงามไม่มีผู้ใดจะมาแบ่งความเป็นพระผู้เป็นเจ้าของพระองค์ หรืพระจริยวัตรของพระองค์ไปได้ ในพระคัมภีร์กุรอาน พระผู้เป็นเจ้าทรงอรรถาธิบายตัวของพระองค์เองไว้ดังนี้:
|
จงล่าวเถิดมุฮัมมัด พระองค์คืออัลลอฮ์ผู้ทรงเอกกะ อัลลอฮ์นั้นทรงเป็นที่พึ่ง พระองค์ไม่ประสูติ และไม่ทรงถูกประสูติ และไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์.” (พระคัมภีร์กุรอ่าน, 112:1-4)
บทที่ 112 ของพระคัมภีร์กุรอานซึ่งจารึกเป็นภาษาอารบิกด้วยลายมือที่งดงาม.
|
ไม่มีผู้ใดมีสิทธิ์ที่จะได้รับการเอ่ยนาม การอ้อนวอนการบูชา หรือได้รับการแสดงการสักการะบูชา นอกจากพระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงพระ
องค์เดียวเท่านั้น.
องค์เดียวเท่านั้น.
พระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียวค
ือผู้มีอำนาจสูงสุด เป็นผู้สร้าง เป็นราชันย์ และเป็นผู้จรรโลงสรรพสิ่งในจักรวาลนี้ พระองค์ทรงจัดการทุกสรรพกิจ พระองค์ทรงประทับอยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสัตว์โลกของพระองค์ และสัตว์โลกทุกหมู่เหล่าต่างต้องพึ่งพาพระองค์สำหรับทุกสิ่งที่พวกเขาต้องการ. พระองค์ทรงสดับทุกสรรพสิ่ง ทรงเห็นทุกสรรพสิ่ง และทรงหยั่งรู้ในทุกสรรพสิ่ง ในหลักการปฏิบัติที่สมบูรณ์แบบ ความรอบรู้ของพระองค์ทรงครอบคลุมเหนือทุกสรรพสิ่ง ทั้งเรื่องที่เปิดเผยและที่เป็นความลับ และต่อสาธารณะชนและที่เป็นส่วนพระองค์ พระองค์ทรงหยั่งรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่จะเกิดขึ้น และจะเกิดขึ้นอย่างไร ไม่มีกิจการใดเกิดขึ้นในโลกใบนี้ได้ เว้นแต่พระองค์ประสงค์จะให้บังเกิดขึ้น . สิ่งใดก็ตามที่พระองค์ประสงค์จะให้เกิด ก็จะต้องบังเกิด และสิ่งใดที่พระองค์ไม่ประสงค์จะให้เกิด ก็จะไม่บังเกิดและจะไม่มีทางบังเกิดขึ้นได้ ความประสงค์ของพระองค์อยู่เหนือความต้องการของสัตว์โลกทั้งปวง พระองค์ทรงมีอำนาจอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง และพระองค์ทรงสามารถกระทำทุกสรรพสิ่ง พระผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ พระองค์ทรงเป็นผู้โอบอ้อมอารีย์ หนึ่งในพระดำรัสของพระศาสดามูหะหมัด , พวกเราได้รับการบอกเล่าว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงมีพระเมตตาต่อสัตว์โลกของพระองค์มากกว่ามารดาที่เมตตาต่อบุตรเสียอีก.1 พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ห่างไกลจากความอยุติธรรมและการกดขี่ พระองค์ทรงรอบรู้ทุกสรรพสิ่งในการปฏิบัติสรรพกิจและการพิพากษาของพระองค์ หากผู้ใดต้องการบางสิ่งจากพระผู้เป็นเจ้า ผู้นั้นสามารถอ้อนวอนได้จากพระองค์โดยตรงโดยไม่ต้องอ้อนวอนผู้อื่นให้ขอร้องต่อพระผู้เป็นให้กับตน.
ือผู้มีอำนาจสูงสุด เป็นผู้สร้าง เป็นราชันย์ และเป็นผู้จรรโลงสรรพสิ่งในจักรวาลนี้ พระองค์ทรงจัดการทุกสรรพกิจ พระองค์ทรงประทับอยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสัตว์โลกของพระองค์ และสัตว์โลกทุกหมู่เหล่าต่างต้องพึ่งพาพระองค์สำหรับทุกสิ่งที่พวกเขาต้องการ. พระองค์ทรงสดับทุกสรรพสิ่ง ทรงเห็นทุกสรรพสิ่ง และทรงหยั่งรู้ในทุกสรรพสิ่ง ในหลักการปฏิบัติที่สมบูรณ์แบบ ความรอบรู้ของพระองค์ทรงครอบคลุมเหนือทุกสรรพสิ่ง ทั้งเรื่องที่เปิดเผยและที่เป็นความลับ และต่อสาธารณะชนและที่เป็นส่วนพระองค์ พระองค์ทรงหยั่งรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่จะเกิดขึ้น และจะเกิดขึ้นอย่างไร ไม่มีกิจการใดเกิดขึ้นในโลกใบนี้ได้ เว้นแต่พระองค์ประสงค์จะให้บังเกิดขึ้น . สิ่งใดก็ตามที่พระองค์ประสงค์จะให้เกิด ก็จะต้องบังเกิด และสิ่งใดที่พระองค์ไม่ประสงค์จะให้เกิด ก็จะไม่บังเกิดและจะไม่มีทางบังเกิดขึ้นได้ ความประสงค์ของพระองค์อยู่เหนือความต้องการของสัตว์โลกทั้งปวง พระองค์ทรงมีอำนาจอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง และพระองค์ทรงสามารถกระทำทุกสรรพสิ่ง พระผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ พระองค์ทรงเป็นผู้โอบอ้อมอารีย์ หนึ่งในพระดำรัสของพระศาสดามูหะหมัด , พวกเราได้รับการบอกเล่าว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงมีพระเมตตาต่อสัตว์โลกของพระองค์มากกว่ามารดาที่เมตตาต่อบุตรเสียอีก.1 พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ห่างไกลจากความอยุติธรรมและการกดขี่ พระองค์ทรงรอบรู้ทุกสรรพสิ่งในการปฏิบัติสรรพกิจและการพิพากษาของพระองค์ หากผู้ใดต้องการบางสิ่งจากพระผู้เป็นเจ้า ผู้นั้นสามารถอ้อนวอนได้จากพระองค์โดยตรงโดยไม่ต้องอ้อนวอนผู้อื่นให้ขอร้องต่อพระผู้เป็นให้กับตน.
พระผู้เป็นเจ้าไม่ใช่พระเยซู และพระเยซูก็ไม่ใช่พระผู้เป็นเจ้า.2 แม้แต่พระเยซูพระองค์เองก็ทรงปฏิเสธในเรื่องนี้ พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตรัสไว้ในพระคัมภีร์กุรอานดังนี้:
แท้จริงบรรดาผู้ที่กล่าวว่า อัลลอฮ์คือ อัล-มะซีห์บุตรของมัรยัมนั้นได้ตกเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว และอัล-มะซีห์ได้กล่าวว่า วงศ์วานอิสรออีลเอ๋ย! จงเคารพอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์ผู้เป็นพระเจ้าของฉัน และเป็นพระเจ้าของพวกท่านเถิด แท้จริงผู้ใดให้มีภาแก่อัลลอฮ์ แน่นอนอัลลอฮ์จะทรงให้สวรรค์เป็นที่ต้องห้ามแก่เขา และที่พำนักของเขานั้นคือนรก และสำหรับบรรดาผู้อธรรมนั้นย่อมไม่มีผู้ช่วยเหลือใด ๆ.3” (พระคัมภีร์กุรอ่าน, 5:72)
พระผู้เป็นเจ้าไม่ใช่พระตรีภพ พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตรัสไว้ในพระคัมภีร์กุรอานดังนี้:
แท้จริงบรรดาผู้ที่กล่าวว่า อัลลอฮ์เป็นผู้ที่สามของสามองค์ นั้นได้ตกเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ควรได้รับการเคารพสักการะนอกจากผู้ที่ควรเคารพสักการะองค์เดียวเท่านั้น และหากพวกเขามิหยุดยั้งจากสิ่งที่พวกเขากล่าวแน่นอนบรรดาผู้ที่ปฏิเสธการศรัทธาในหมู่พวกเขานั้นจะต้องประสบการลงโทษอันเจ็บแสบ พวกเขาจะไม่สำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวต่อัลลอฮ์ และขออภัยโทษต่อพระองค์กระนั้นหรือ? และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงเอ็นดูเมตตาเสมอ มะซีห์ (พระเยซู) บุตรของมัรยัม นั้นมิใช่ใครอื่นนอกจากเป็นร่อซู้ลคนหนึ่งเท่านั้น... (พระคัมภีร์กุรอ่าน, 5:73-75)
ชาวอิสลามปฏิเสธเรื่องที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างโลกเสร็จภายในเจ็ดวัน พระองค์ทรงต่อสู้กับเทพของพระองค์พระองค์หนึ่ง พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างความขี้อิจฉาในมวลมนุษยชาติ หรือพระองค์ทรงเป็นผู้กลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย อีกทั้งชาวอิสลามยังปฏิเสธเรื่องที่พระผู้เป็นเจ้ามีลักษณะใดๆ เหมือนมนุษย์ ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นการดูถูกเหยียดหยามในพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่เหนือสิ่งอื่นใด พระองค์ทรงอยู่ห่างจากความไม่เพียบพร้อม พระองค์ไม่เคยรู้สึกเหน็ดเหนื่อย พระองค์ไม่เคยเซื่องซึมหรือง่วงเหงาหาวนอน์.
ในภาษาอารบิกคำว่า อัลเลาะห์ หมายความถึง พระผู้เป็นเจ้า (พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงเพียงพระองค์เดียวซึ่งสรรสร้างทั้งจักรวาล) คำว่า อัลเลาะห์คือพระนามของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งนำมาใช้โดยผู้พูดภาษาอารบิก ทั้งชาวอาหรับที่เป็นมุสลิมและอาหรับที่เป็นชาวคริสต์ คำนี้ไม่สามารถนำไปใช้เรียกสิ่งอื่นๆ ได้ นอกจากพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงเพียงพระองค์เดียว ภาษาอารบิก คำว่า อัลเลาะห์ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์กุรอานประมาณ 2700 ครั้ง ในภาษาอารามาอิค ซึ่งเป็นภาษาหนึ่งที่เกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับภาษาอารบิกและเป็นภาษาซึ่งพระเยซูทรงใช้ตรัสเป็นปรกติวิสัย,4พระผู้เป็นเจ้ายังทรงได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นพระอัลเลาะห์อีกด้วย.
2) ความเชื่อในเรื่องเทพเจ้า:
ชาวมุสลิมมีความเชื่อว่าเทพเจ้ามีอยู่จริง และเชื่อว่าเทพเจ้าเหล่านั้นเป็นผู้ทรงเกียรติ บรรดาเทพเจ้าต่างให้ความเคารพพระผู้เป็นเจ้าพระองค์เดียว เชื่อฟังพระองค์ และปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์เท่านั้น ในบรรดาเทพเจ้าเหล่านั้น เทพเจ้ากาเบรียล คือผู้ซึ่งนำเอาพระคำภีร์กุรอานลงมามอบให้แก่พระมูหะหมัด .
3) ความเชื่อในหนังสือที่ทรงเปิดเผยของพระผู้เป็นเจ้า:
ชาวมุสลิมเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยหนังสือให้แก่ผู้ถือสารของพระองค์ไว้เป็นเครื่องพิสูจน์และเป็นเครื่องชี้ทางสำหรับมนุษยชาติ หนึ่งในหนังสือเหล่านี้ได้แก่ พระคัมภีร์กุรอาน ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยแก่พระศาสดามูหะหมัด . พระผู้เป็นเจ้าทรงให้คำรับรองเกี่ยวกับการป้องกันการคดโกงหรือการบิดเบือนข้อเท็จจริงในพระคัมภีร์กุรอาน พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า:
แท้จริงเราได้ให้พระคัมภีร์กุรอานลงมา และแท้จริงเราเป็นผู้รักษามันอย่างแน่นอน. (พระคัมภีร์กุรอาน, 15:9)
4) ความเชื่อในพระศาสดาและผู้ถือสารของพระผู้เป็นเจ้า
ชาวมุสลิมเชื่อในพระศาสดาและผู้ถือสารของพระผู้เป็นเจ้า เริ่มจากอาดัมรวมทั้งโนอาห์ อับบราฮัม อิสมาเอล ไอแซ็ค จาค็อบ โมเสส และ พระเยซู (ความสันติย่อมขึ้นอยู่กับทุกพระองค์) แต่สารฉบับสุดท้ายของพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงมอบให้แก่มวลมนุษย์ เป็นการยืนยันอีกครั้งหนึ่งในเรื่องของสารอันเป็นนิรันดร ซึ่งทรงเปิดเผยแก่พระศาสดามูหะหมัด . ชาวมุสลิมเชื่อว่าพระมูหะหมัด ทรงเป็นพระศาสดาองค์สุดท้ายที่ประทานมาจากพระผู้เป็นเจ้า ตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตรัสไว้ว่า:
มุฮัมมัดมิได้เป็นบิดาผู้ใดในหมู่บุรุษของพวกเจ้า แต่เป็นร่อซู้ลของอัลลอฮ์และคนสุดท้ายแห่งบรรดานบี... (พระคัมภีร์กุรอาน, 33:40)
ชาวมุสลิมเชื่อว่าพระศาสดาและผู้ถือสารทั้งหมดได้รับการสรรสร้างให้มาเกิดเป็นมนุษย์ผู้ซึ่งไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติแห่งเทพอย่างพระผู้เป็นเจ้าเลย.
5) ความเชื่อในเรื่องวันพิพากษา
ชาวมุสลิมเชื่อในเรื่องวันพิพากษา (วันฟื้นคืนชีพ) เมื่อหมู่มวลมนุษย์จะต้องฟื้นคืนชีวิตมาฟังคำพิพากษาของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งขึ้นอยู่กับความเชื่อและการกระทำของพวกเขา.
6) ความเชื่อในอัล-เคดาห์
ชาวมุสลิมเชื่อในอัล-เคดาห์ ซึ่งเป็นลิขิตแห่งพระเจ้า แต่ความเชื่อในเรื่องลิขิตแห่งพระเจ้านี้มิได้หมายความว่ามนุษย์จะไม่มีความนึกคิดที่เป็นอิสระ แต่ชาวมุสลิมเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงประทานความนึกคิดที่เป็นอิสระให้กับมนุษย์ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาสามารถเลือกทำในสิ่งที่ถูกหรือผิดได้ และพวกเขาเหล่านั้นต้องมีหน้าที่รับผิดชอบในสิ่งที่ตนได้เลือกกระทำไปนั้น.
ความเชื่อในลิขิตแห่งพระเจ้านั้น ได้แก่ ความเชื่อในสี่สิ่งดังต่อไปนี้ 1) พระผู้เป็นเจ้าทรงหยั่งรู้ในทุกสรรพสิ่ง พระองค์ทรงหยั่งรู้ว่าอะไรได้เกิดขึ้นและอะไรจะเกิดขึ้น 2) พระผู้เป็นเจ้าทรงบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดและที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดไว้ 3) อะไรก็ตามที่พระผู้เป็นเจ้าประสงค์จะให้เกิด จะต้องบังเกิดขึ้น และอะไรก็ตามที่พระองค์ไม่ประสงค์จะให้เกิด ก็จะไม่บังเกิดขึ้น 4) พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง.
_____________________________
เชิงอรรถ:
(1) บรรยายไว้ใน Saheeh Muslim เลขที่ 2754 และ Saheeh Al-Bukhari เลขที่ 5999.
(2) เป็นรายงานจากสมาคมนักหนังสือพิมพ์ (Associated Press) ลอนดอน วันที่ 25 มิถุนายน 2527 ซึ่งพระบิช็อพนิกายแอ็งกลิกันส่วนใหญ่ซึ่งได้รับการสำรวจจากรายการโทรทัศน์รายการหนึ่ง กล่าวว่า “คริสตศาสนิกชนมิได้ถูกบังคับให้เชื่อว่าพระเยซูคริสต์คือพระผู้เป็นเจ้า” การสำรวจความคิดเห็นจากพระบิช็อพในประเทศอังกฤษจำนวน 31 รูปจากทั้งหมด 39 รูป รายงานนั้นยังกล่าวอีกด้วยว่า จำนวนพระบิช็อพ 19 รูปจาก 31 รูป ได้กล่าวว่า เป็นการสมควรที่จะนับถือพระเยซูว่าเป็น ”ผู้แทนสูงสุดของพระผู้เป็นเจ้า” การสำรวจความคิดเห็นครั้งนี้จัดทำโดยรายการศาสนาประจำสัปดาห์ของรายการโทรทัศน์ประจำวันสุดสัปดาห์ของกรุงลอนดอนในรายการ “เครโด” (Credo)
(3) ผู้กระทำผิดศีลธรรม ได้แก่ ผู้ที่ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าหลยพระองค์.
(4) NIV Compact Dictionary of the Bible ของ Douglas หน้า 42.
....... 👇
🌍🔵🔴
สิทธิมนุษยชนและความยุติธรรมในศาสนาอิสลาม
ชีวิตและทรัพย์สินของพลเมืองทุกคนในรัฐอิสลามถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นชาวมุสลิมหรือไม่ก็ตาม อีกทั้งศาสนาอิสลามยังคงดำรงรักษาไว้ซึ่งเกียรติยศศักดิ์ศรี ดังนั้น ในศาสนาอิสลาม การพูดจาจาบจ้วงผู้อื่นหรือกระทำการล้อเลียนต่อผู้อื่นถือเป็นสิ่งที่กระทำมิได้ พระศาสดามูหะหมัด ได้ทรงตรัสไว้ว่า {แท้ที่จริงแล้วเลือดเนื้อของพวกเจ้า ทรัพย์สินของพวกเจ้าและเกียรติยศของพวกเจ้าจะล่วงละเมิดมิได้.}1
การเหยียดสีผิวจะกระทำมิได้ในศาสนาอิสลาม เนื่องจากในพระคัมภีร์กุรอานได้กล่าวถึงความเสมอภาคของมนุษย์ตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้:
โอ้มนุษยชาติทั้งหลาย แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้าจากเพศชาย และเพศหญิง และเราได้ให้พวกเจ้าแยกเป็นเผ่า และตระกูลเพื่อจะได้รู้จักกัน แท้จริงผู้ที่มีเกียรติยิ่งในหมู่พวกเจ้า ณ ที่อัลลอฮ์นั้น คือผู้ที่มีความยำเกรงยิ่งในหมู่พวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน.2. (พระคัมภีร์กุรอาน, 49:13)
ศาสนาอิสลามปฏิเสธการกำหนดกลุ่มปัจเจกชนคนใดหรือชนชาติใดให้เป็นที่โปรดปรานเป็นพิเศษ อันเนื่องมาจากความมั่งคั่ง อำนาจ หรือเชื้อชาติของพวกเขาเหล่านั้น พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างหมู่มวลมนุษย์ขึ้นมาให้มีความเท่าเทียมกัน ซึ่งจะมีความแตกต่างกันก็แต่เฉพาะพื้นฐานของความศรัทธาและความเลื่อมใสในศาสนาเท่านั้น พระศาสดามูหะหมัด ทรงตรัสไว้ว่า {โอ มนุษย์ทั้งหลาย! พระผู้เป็นเจ้าของพวกเธอก็เป็นพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกันและบรรพบุรุษของพวกเธอ (อาดัม) ก็เป็นบรรพบุรุษคนเดียวกัน ชนชาติอาหรับก็ไม่ดีไปกว่าชนชาติที่ไม่ใช่อาหรับและชนชาติที่ไม่ใช่อาหรับก็ไม่ดีไปกว่าชนชาติอาหรับ และบุคคลผิวสีแดง (เช่น สีขาวแต่งแต้มไว้ด้วยสีแดง)ก็ไม่ดีไปกว่าบุคคลที่มีผิวสีดำและบุคคลที่มีผิวสีดำก็ไม่ดีไปกว่าบุคคลที่มีผิวสีแดง,3 ยกเว้นในเรื่องของความเลื่อมใสในศาสนา.}4
ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งในปัญหาสำคัญอื่นๆ ที่มนุษยชาติต่างประสบอยู่ทุกวันนี้ก็คือลัทธิการเหยียดสีผิว ประเทศที่พัฒนาแล้วสามารถส่งมนุษย์ขึ้นไปยังดวงจันทร์ได้ แต่ไม่สามารถห้ามมนุษย์ให้เกลียดชังและต่อสู้กับมนุษย์ร่วมโลกได้ นับตั้งแต่ช่วงชีวิตพระศาสดามูหะหมัด , เป็นต้นมา ศาสนาอิสลามได้แสดงให้เห็นด้วยตัวอย่างที่ชัดเจนว่าสามารถยุติลัทธิเหยียดสีผิวนั้นได้อย่างไร การแสวงบุญในแต่ละปี (ฮัจจ์)ที่นครเมกกะห์แสดงให้เห็นถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างแท้จริงของพี่น้องชาวมุสลิมทุกเชื้อชาติและชนชั้น เมื่อชาวมุสลิมประมาณสองล้านคนจากทั่วทุกมุมโลกมาชุมนุมกันที่นครเมกกะห์เพื่อแสวงบุญดังกล่าว.
ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาแห่งความยุติธรรม
พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสไว้ว่า:
แท้จริงอัลลอฮ์ทรงใช้พวกเจ้าให้มอบคืนบรรดาของฝากแก่เจ้าของของมัน และเมื่อพวกเจ้าตัดสินระหว่างผู้คน พวกเจ้าก็จะต้องตัดสินด้วยความยุติธรรม.... (พระคัมภีร์กุรอาน, 4:58)
และพระองค์ยังทรงตรัสอีกว่า:
...และพวกเจ้าจงให้ความเที่ยงธรรมเถิด แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรักใคร่บรรดาผู้ให้ความเที่ยงธรรม. (พระคัมภีร์กุรอาน, 49:9)
พวกเราควรยุติธรรมแม้กระทั่งกับบุคคลผู้ซึ่งพวกเราต่างเกลียดชัง ตามที่พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสไว้ว่า:
...และจงอย่าให้การเกลียดชังพวกหนึ่งพวกใด ทำให้พวกเจ้าไม่ยุติธรรม จงยุติธรรมเถิด มันเป็นสิ่งที่ใกล้กับความยำเกรงยิ่งกว่า.... (พระคัมภีร์กุรอาน, 5:8)
พระศาสดามูหะหมัดทรงตรัสไว้ว่า {มนุษย์ทั้งหลาย จงระวังในเรื่องความอยุติธรรม,5เนื่องจากความอยุติธรรมนั้นจะมีแต่ความมืดมิดในวันพิพากษาโลก.}6
และบุคคลผู้ซึ่งไม่เคยมีสิทธิใดๆ เลย (เช่น สิ่งที่พวกเขามีสิทธิ์ร้องขออย่างยุติธรรม) ในชีวิตนี้จะได้รับสิทธิต่างๆ ในวันพิพากษา อย่างที่พระศาสาดา ทรงตรัสไว้ว่า {ในวันพิพากษาโลก สิทธิต่างๆ จะมอบให้แก่บุคคลเหล่านั้นเมื่อบุคคลเหล่านั้นถึงกำหนดได้รับ (และความไม่ถูกต้องจะได้รับการชดใช้)....}7
_____________________________
เชิงอรรถ:
(1) บรรยายไว้ใน Saheeh Al-Bukhari เลขที่ 1739 และ Mosnad Ahmad เลขที่ 2037.
(2) บุคคลผู้เคร่งครัดในศาสนาคือผู้มีศรัทธาซึ่งละเว้นจากบาปทั้งปวง กระทำแต่ความดีทั้งปวง ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาพวกเราให้กระทำ อีกทั้งต้องเกรงกลัวและรักในพระผู้เป็นเจ้า.
(3) สีผิวที่กล่าวไว้ในคำดำรัสของพระศาสดานั้นคือตัวอย่าง ความหมายก็คือในศาสนาอิสลาม ไม่มีผู้ใดดีกว่าผู้อื่น อันเนื่องมาจากสีผิว ไม่ว่าสีขาว ดำ แดง หรือสีอื่นๆ.
(4) บรรยายไว้ใน Mosnad Ahmad เลขที่ 22978.
(5) ตัวอย่างเช่น การกดขี่ข่มเหงผู้อื่น การปฏิบัติอย่างอยุติธรรม หรือกระทำสิ่งไม่ถูกต้องต่อผู้อื่น.
(6) บรรยายไว้ใน Mosnad Ahmad เลขที่ 5798 และ Saheeh Al-Bukhari เลขที่ 2447.
🔴..... 🔵..... 🌍
🔴
🔵....🌍....🔴
🔵....🌍....🔴
(3) ความเกษมสำราญและความสันติภายในอย่างแท้จริง |
ความเกษมสำราญและความสันติที่แท้จริง สามารถค้นพบได้โดยเชื่อฟังคำบัญชาของพระผู้สร้างและพระผู้จรรโลงโลก พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสไว้ในพระคัมภีร์กุรอานดังนี้ บรรดาผู้ศรัทธา และจิตใจของพวกเขาสงบด้วยการรำลึกถึงอัลลอฮ์ พึงทราบเถิด! ด้วยการรำลึกถึงอัลลอฮ์เท่านั้นทำให้จิตใจสงบ. (พระคัมภีร์กุรอาน, 13:28) อีกนัยหนึ่ง ผู้ซึ่งหันหลังให้กับพระคัมภีร์กุรอานจะมีชีวิตที่ยากลำบากในโลกนี้ พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสไว้ว่า: |
และผู้ใดผินหลังให้พระคัมภีร์กุรอาน ,1แท้จริงสำหรับเขาคือ การมีชีวิตอยู่อย่างคับแค้นและเราจะให้เขาฟื้นคืนชีพในวันกิยามะฮ์ในสภาพของคนตาบอด. (พระคัมภีร์ , 20:124)
ดังเช่นที่กล่าวมานี้อาจอธิบายได้ว่า ทำไมใครบางคนจึงตัดสินใจทำอัตวิบากกรรมทั้งที่พวกเขายังมีความเพลิดเพลินอยู่กับทรัพย์สินศฤงคารที่เงินตราสามารถซื้อหามาได้ ดูตัวอย่างเช่น Cat Stevens (ปัจจุบันได้แก่ Yusuf Islam) อดีตนักร้องเพลงป๊อปผู้โด่งดังซึ่งบางครั้งเคยมีรายได้มากกว่า 150,000 เหรียญสหรัฐต่อคืนเลยทีเดียว ภายหลังที่เขาหันมานับถือศาสนาอิสลาม เขาได้พบกับความเกษมสำราญและความสันติที่แท้จริง ซึ่งเขาไม่เคยพบในความสำเร็จทางวัตถุนี้เลย .2
_____________________________
เชิงอรรถ::
(1) กล่าวคือ ไม่มีความศรัทธาในพระคัมภีร์กุรอานหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งทั้งหลายที่อยู่ในพระคำภีร์ดังกล่าว.
(2) ที่อยู่ปัจจุบันของ Cat Stevens (Yusuf Islam) ในกรณีที่ท่านต้องการสอบถามเขาเกี่ยวกับความรู้สึกหลังจากเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม คือ: 2 Digswell Street, London N7 8JX, United Kingdom.
🔵....🌍....🔴
🔴 หลักฐานบางประการที่บอกถึงความเป็นจริงของศาสนาอิสลาม
🔵 ปาฏิหาริย์ในทางวิทยาศาสตร์ที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์กุรอาน
🔵....🌍....🔴
🔴 ชาวมุสลิมมีความเชื่อเกี่ยวกับพระเยซูอย่างไร? 👇
🔵....🌍....🔴
🔴 ศาสนาที่เที่ยงแท้ หนังสือที่ดีอีกเล่มหนึ่งเพื่ออธิบายอิสลามสำหรับผู้ที่แสวงหาข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเกี่ยวศาสนาของพระเจ้า เป็นหนังสือที่ชวนให้ใช้ความคิดใคร่ครวญถึงความสัจจริงของศาสนา และจำแนกให้เห็นความแตกต่างระหว่างพระเจ้ากับสิ่งถูกสร้าง
🔵....🌍....🔴
เพียงถ้อยคำหนึ่งเดียว !
คือสารที่ถูกประทานลงมาหลังจากอาดัม มนุษย์คนแรกที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา ตลอดระยะเวลาในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ พระเจ้าได้ส่งสารนี้เพียงสารเดียวเท่านั้นเหมือนกันหมดทุกประชาชาติ ทุกยุคสมัยของบรรดาศาสนทูต หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นเพื่อเป็นการเตือนและสะกิดให้นึกถึงสารดังกล่าว ที่ถูกประทานลงมายังอาดัม โนอาห์ อับราฮัม โมเสส เยซู และมูฮัมหมัด เพื่อให้พวกเขาประกาศว่า “พระเจ้าที่เที่ยงแท้มีเพียงหนึ่งเดียว พวกท่านจงเชื่อฟังและปฏิบัติตามพระองค์เถิด”
🔵....🌍....🔴
🔴 คู่มือเข้าใจอิสลามอย่างง่าย พร้อมภาพประกอบ 👇
🔵 คำอธิบาย
🌍 หนังสือเพื่อการแนะนำศาสนาอิสลาม เหมาะสำหรับผู้สนใจอิสลามทุกคน บรรจุด้วยข้อมูลเกี่ยวกับความมหัศจรรย์ทางวิทยาศาสตร์ที่ปรากฏในอัลกุรอานและซุนนะฮฺ โดยการวิเคราะห์ในเชิงวิชาการ พร้อมภาพประกอบการอธิบายอย่างเป็นขั้นตอน
🔵....🌍....🔴
🎬 👇
🔴"ความหมายของชีวิต"
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น