ศาสนาอิสลามคืออะไร?
بسم الله الرحمن الرحيم
➡➡➡➡➡➡➡➡
⚠️ พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสไว้ในพระคัมภีร์กุรอานดังนี้ :
{🔴 [2.21] โอ มนุษย์เอ๋ย, จงบูชาเจ้านายของเจ้าผู้ซึ่งมีได้สร้างเจ้าและเหล่านั้นผู้ซึ่งมีได้ไปก่อนหน้าเจ้า, เช่นนั้นซึ่งที่เจ้าจะเป็นระมัดระวัง.
🔵[2.21] มนุษย์เอ๋ย จงเคารพภักดีพระผู้อภิบาลของสูเจ้า ผู้ทรงบังเกิดสูเจ้า และบรรดาก่อนหน้าสูเจ้า เพื่อสูเจ้าจะได้สำรวมตน จากความชั่ว
🔴 [2.22] ผู้ซึ่งมีได้ทำให้เกิดขึ้นโลกเตียงเพื่อเจ้าและท้องฟ้าหลังคากลม, และมีได้ส่งลงมาน้ำจากท้องฟ้าเพื่อทำให้เกิดออกมาบรรดาพืชผลสำหรับเสบียงอาหารของเจ้า. จงอย่าอย่างรู้ดีตั้งขึ้นบรรดาคู่ปรับไปยังอัลเลาะห์.
🔵 [2.22] ผู้ทรงทำแผ่นดิน ให้เป็นพื้นสำหรับสูเจ้า และชั้นฟ้าเป็นหลังคา และทรงส่งน้ำมาจากฟากฟ้า และทรงให้ผลไม้ต่าง ๆ งอกเงยออกมา เพราะเหตุนั้น เพื่อเป็นเครื่องยังชีพสำหรับสูเจ้า ดังนั้นเมื่อสูเจ้ารู้ดีอยู่แล้ว ก็จงอย่าตั้งสิ่งใดเคียงคู่กับอัลลอฮ์
🔴 [2.23] ถ้าเจ้าอยู่ในความสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่ข้ามีได้ส่งลงมาให้ผู้บูชาของข้า*, จงแสดงบทซึ่งเปรียบเทียบกันได้ไปยังมัน. จงร้องเรียกบนบรรดาผู้ช่วยเหลือของเจ้า, คนอื่นนอกจากอัลเลาะห์, เพื่อสนับสนุนเจ้า, ถ้าเจ้าเป็นจริง.
🔵 [2.23] และถ้าหากสูเจ้า ยังคงคลางแคลงสงสัย ในสิ่งที่เราได้ส่งมาแก่บ่าวของเรา ก็ขอให้สูเจ้า จงแต่งขึ้นมาสักซูเราะฮ์หนึ่ง ที่เหมือนกับสิ่งนี้ สูเจ้าอาจจะเรียกใครอื่น นอกจากอัลลอฮ์มาช่วยเหลือสูเจ้าก็ได้ ถ้าหากสูเจ้าแน่จริง (ในความสงสัยก็จงทำ)
🔴 [2.24] แต่ถ้าเจ้าไม่สามารถ, ดังที่เจ้าเป็นมั่นใจเพื่อไม่สามารถ, ถ้าเป็นเช่นนั้นจงป้องกันบรรดาตัวของเจ้าเองต่อต้านไฟผู้ซึ่งเชื้อเพลิงคือประชาชนและบรรดาหิน, ที่ถูกตระเตรียมสำหรับผู้ไร้ศรัทธา เถิด.
🔵 [2.24] แต่ถ้าหากสูเจ้าไม่ทำ และสูเจ้าก็ไม่มีทางที่จะทำได้ด้วย ดังนั้น จงระวังไฟ ที่ถูกเตรียมไว้สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธ ซึ่งจะมีมนุษย์และหินเป็นเชื้อเพลิง
🔴 [2.25] จงถือบรรดาข่าวยินดีไปยังเหล่านั้นผู้ซึ่งศรัทธาและทำบรรดาการงานที่ดี. พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ข้างในบรรดาสวนข้างใต้ที่ซึ่งบรรดาสายน้ำไหล. เมื่อไรก็ตามที่พวกเขาเป็นถูกให้ผลไม้ดังที่เสบียงอาหารพวกเขาจะพูด: ‘สิ่งนี้คือสิ่งที่พวกเราได้เป็นถูกให้ก่อนหน้า,’ สำหรับพวกเขาจะเป็นถูกให้ในความคล้ายคลึงกัน. ในที่นั้นพวกเขาจะมีคู่ชีวิตที่บริสุทธิ์, และจะมีชีวิตอยู่ที่นั่นเป็นระยะเวลาตลอดไป.
🔵 [2.25] และ (มุฮัมมัด) จงแจ้งข่าวดี แก่บรรดาผู้ศรัทธา และประกอบการดีทั้งหลายว่า สำหรับพวกเขา คือสวนสวรรค์หลากหลาย ที่เบื้องล่าง มีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน คราวใดที่พวกเขา ได้รับผลไม้จากที่นั่นเป็นปัจจัยยังชีพ พวกเขาจะกล่าวว่า นี่เป็นสิ่งที่เราได้ถูกประทานมาก่อน และพวกเขา จะถูกประทานให้เยี่ยงนั้น และจะมีคู่ครองที่บริสุทธิ์ สำหรับพวกเขาในนั้น และพวกเขาทั้งหลาย จะพักอยู่ในนั้นตลอดไป}
⚠️🔴⚠️🔵⚠️
{🔴 [2.21] โอ มนุษย์เอ๋ย, จงบูชาเจ้านายของเจ้าผู้ซึ่งมีได้สร้างเจ้าและเหล่านั้นผู้ซึ่งมีได้ไปก่อนหน้าเจ้า, เช่นนั้นซึ่งที่เจ้าจะเป็นระมัดระวัง.
🔵[2.21] มนุษย์เอ๋ย จงเคารพภักดีพระผู้อภิบาลของสูเจ้า ผู้ทรงบังเกิดสูเจ้า และบรรดาก่อนหน้าสูเจ้า เพื่อสูเจ้าจะได้สำรวมตน จากความชั่ว
🔴 [2.22] ผู้ซึ่งมีได้ทำให้เกิดขึ้นโลกเตียงเพื่อเจ้าและท้องฟ้าหลังคากลม, และมีได้ส่งลงมาน้ำจากท้องฟ้าเพื่อทำให้เกิดออกมาบรรดาพืชผลสำหรับเสบียงอาหารของเจ้า. จงอย่าอย่างรู้ดีตั้งขึ้นบรรดาคู่ปรับไปยังอัลเลาะห์.
🔵 [2.22] ผู้ทรงทำแผ่นดิน ให้เป็นพื้นสำหรับสูเจ้า และชั้นฟ้าเป็นหลังคา และทรงส่งน้ำมาจากฟากฟ้า และทรงให้ผลไม้ต่าง ๆ งอกเงยออกมา เพราะเหตุนั้น เพื่อเป็นเครื่องยังชีพสำหรับสูเจ้า ดังนั้นเมื่อสูเจ้ารู้ดีอยู่แล้ว ก็จงอย่าตั้งสิ่งใดเคียงคู่กับอัลลอฮ์
🔴 [2.23] ถ้าเจ้าอยู่ในความสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่ข้ามีได้ส่งลงมาให้ผู้บูชาของข้า*, จงแสดงบทซึ่งเปรียบเทียบกันได้ไปยังมัน. จงร้องเรียกบนบรรดาผู้ช่วยเหลือของเจ้า, คนอื่นนอกจากอัลเลาะห์, เพื่อสนับสนุนเจ้า, ถ้าเจ้าเป็นจริง.
🔵 [2.23] และถ้าหากสูเจ้า ยังคงคลางแคลงสงสัย ในสิ่งที่เราได้ส่งมาแก่บ่าวของเรา ก็ขอให้สูเจ้า จงแต่งขึ้นมาสักซูเราะฮ์หนึ่ง ที่เหมือนกับสิ่งนี้ สูเจ้าอาจจะเรียกใครอื่น นอกจากอัลลอฮ์มาช่วยเหลือสูเจ้าก็ได้ ถ้าหากสูเจ้าแน่จริง (ในความสงสัยก็จงทำ)
🔴 [2.24] แต่ถ้าเจ้าไม่สามารถ, ดังที่เจ้าเป็นมั่นใจเพื่อไม่สามารถ, ถ้าเป็นเช่นนั้นจงป้องกันบรรดาตัวของเจ้าเองต่อต้านไฟผู้ซึ่งเชื้อเพลิงคือประชาชนและบรรดาหิน, ที่ถูกตระเตรียมสำหรับผู้ไร้ศรัทธา เถิด.
🔵 [2.24] แต่ถ้าหากสูเจ้าไม่ทำ และสูเจ้าก็ไม่มีทางที่จะทำได้ด้วย ดังนั้น จงระวังไฟ ที่ถูกเตรียมไว้สำหรับบรรดาผู้ปฏิเสธ ซึ่งจะมีมนุษย์และหินเป็นเชื้อเพลิง
🔴 [2.25] จงถือบรรดาข่าวยินดีไปยังเหล่านั้นผู้ซึ่งศรัทธาและทำบรรดาการงานที่ดี. พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ข้างในบรรดาสวนข้างใต้ที่ซึ่งบรรดาสายน้ำไหล. เมื่อไรก็ตามที่พวกเขาเป็นถูกให้ผลไม้ดังที่เสบียงอาหารพวกเขาจะพูด: ‘สิ่งนี้คือสิ่งที่พวกเราได้เป็นถูกให้ก่อนหน้า,’ สำหรับพวกเขาจะเป็นถูกให้ในความคล้ายคลึงกัน. ในที่นั้นพวกเขาจะมีคู่ชีวิตที่บริสุทธิ์, และจะมีชีวิตอยู่ที่นั่นเป็นระยะเวลาตลอดไป.
🔵 [2.25] และ (มุฮัมมัด) จงแจ้งข่าวดี แก่บรรดาผู้ศรัทธา และประกอบการดีทั้งหลายว่า สำหรับพวกเขา คือสวนสวรรค์หลากหลาย ที่เบื้องล่าง มีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน คราวใดที่พวกเขา ได้รับผลไม้จากที่นั่นเป็นปัจจัยยังชีพ พวกเขาจะกล่าวว่า นี่เป็นสิ่งที่เราได้ถูกประทานมาก่อน และพวกเขา จะถูกประทานให้เยี่ยงนั้น และจะมีคู่ครองที่บริสุทธิ์ สำหรับพวกเขาในนั้น และพวกเขาทั้งหลาย จะพักอยู่ในนั้นตลอดไป}
⚠️🔴⚠️🔵⚠️
❤⚠❤⚠❤
⚠ I seek refuge with Allah from the accursed Shaytaan ⚠
God said :
❤ { O mankind, worship your Lord, who created you and those before you, that you may become righteous - ( 2:21 )
⚠ [He] who made for you the earth a bed [spread out] and the sky a ceiling and sent down from the sky, rain and brought forth thereby fruits as provision for you. So do not attribute to Allah equals while you know [that there is nothing similar to Him]. ( 2:22 )
❤ And if you are in doubt about what We have sent down upon Our Servant [Muhammad], then produce a surah the like thereof and call upon your witnesses other than Allah, if you should be truthful. ( 2:23 )
⚠ But if you do not - and you will never be able to - then fear the Fire, whose fuel is men and stones, prepared for the disbelievers.( 2:24 )
❤ And give good tidings to those who believe and do righteous deeds that they will have gardens [in Paradise] beneath which rivers flow. Whenever they are provided with a provision of fruit therefrom, they will say, "This is what we were provided with before." And it is given to them in likeness. And they will have therein purified spouses, and they will abide therein eternally. ( 2:25 )
⚠ Quran ❤
⚠❤⚠❤⚠
ตัวอย่างพระดำรัสของพระศาสดามูหะหมัด
❤ {ผู้ศรัทธาในความรัก ความเมตตาและความกรุณาต่อบุคคลอื่นเปรียบเสมือนกับร่างกาย หากส่วนใดของร่างกายเจ็บป่วยลง ร่างกายทั้งหมดจะพลอยได้รับความทุกข์และความเจ็บไข้นั้นด้วย}
⚠ {สิ่งสมบูรณ์ที่สุดของผู้ศรัทธาในความจงรักภักดีต่อพระเจ้าคือสิ่งที่ดีที่สุดของพวกเขาในเรื่องศีลธรรม และที่ดีที่สุดในบรรดาพวกเขานั้นได้แก่ผู้ใดก็ตามที่ดีที่สุดต่อภรรยาของพวกเขา.}
❤ {ไม่มีผู้ใดในพวกเจ้ามีความเชื่อ (อย่างสมบูรณ์) จนกว่าเขาจะรักต่อพี่น้องของเขาอย่างที่เขารักในตัวของเขาเอง}
⚠ {ผู้มีเมตตาจะได้รับความเมตตาจากผู้มีความเมตตาทั้งหลาย จงแสดงความเมตตาต่อมนุษย์โลกเหล่านั้น และพระผู้เป็นเจ้าจะทรงแสดงความเมตตาต่อเจ้า}
❤ {ยิ้มให้แก่พี่น้องของพวกเจ้าเป็นการทำบุญกุศล...}
⚠ {การกล่าวดีเป็นการทำบุญกุศล}6
❤ {ผู้ใดก็ตามที่ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าและวันสิ้นโลก (วันพิพากษา) ควรกระทำความดีต่อเพื่อนบ้านของตนด้วย}
⚠ {พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงพิพากษาพวกเจ้าตามลักษณะรูปพรรณสัณฐานของพวกเจ้าและคุณค่าของพวกเจ้า}
❤ {จ่ายค่าแรงคนงานก่อนที่เหงื่อของเขาจะแห้ง}
⚠ {บุรุษผู้หนึ่งกำลังเดินไปตามทางเดินรู้สึกกระหายน้ำเป็นกำลัง เมื่อถึงยังบ่อน้ำ เขาจึงก้มลงไปในบ่อน้ำนั้น ดื่มจนเต็มกระเพาะ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมา ต่อมาเขามองเห็นสุนัขลิ้นห้อยตัวหนึ่ง พยายามลามเลียลงไปบนพื้นโคลนเพื่อดับกระหาย บุรุษผู้นั้นกล่าวว่า “สุนัขตัวนี้รู้สึกกระหายเหมือนอย่างที่ข้ารู้สึกเลย” ดังนั้น เขาจึงเดินลงไปในบ่อน้ำอีกครั้งหนึ่ง นำรองเท้าของเขาตักน้ำขึ้นมา และนำไปให้สุนัขตัวนั้นดื่ม ดังนั้น พระผู้เป็นเจ้าจึงขอบใจเขาผู้นั้นและยกเลิกบาปทั้งปวงของเขา} มีผู้ทูลถามพระศาสดามูหะหมัด ว่า “ผู้ถือสารของพระผู้เป็นเจ้า พวกเราจะได้รับสิ่งตอบแทนสำหรับความกรุณาที่มีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายหรือไม่พระเจ้าค่ะ” พระองค์ทรงตรัสว่า {มีสิ่งตอบแทนสำหรับความกรุณาที่มีให้แก่หมู่มวลมุนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายที่มีชีวิต.}
❤⚠❤⚠❤
❤"ความหมายของชีวิต"🎬
⚠❤⚠❤⚠
🔴 ถ้าเรามีความปรารถนาที่จะทราบว่าศาสนาใดเป็นศาสนาที่แท้จริงหรือจอมปลอมนั้น เราจงอย่านำอารมณ์ ความรู้สึก หรือประเพณีของเราเองมาตัดสิน เราควรนำเหตุผล สติปัญญาของเรามาใช้จะดีกว่า เมื่อพระผู้เป็นเจ้าทรงประทานพระศาสดามาให้ พระองค์จะทรงประทานให้เหล่าพระศาสดานั้นมีปาฏิหาริย์และมีหลักฐานต่างๆ เพื่อพิสูจน์ได้ว่า พระศาสดาเหล่านั้นคือ พระศาสดาที่แท้จริง ซึ่งประทานมาโดยพระผู้เป็นเจ้า ด้วยเหตุฉะนี้ ศาสนาที่พระศาสดาเหล่านั้นนำมานั้นจึงเป็นศาสนาที่แท้จริงด้วย.
🔵 เว็บไซต์แห่งนี้ จะเป็นการตอบคำถามที่สำคัญบางเรื่องซึ่งมีผู้สนใจสอบถามมา ดังนี้:
🔴พระคำภีร์กุรอานที่มาจากพระดำรัสของพระผู้เป็นเจ้าโดยแท้นั้น นำมาเปิดเผยโดยพระองค์เองใช่หรือไม่?
🔵 พระมูหะหมัด คือพระศาสดาที่แท้จริง ที่ประทานมาโดยพระผู้เป็นเจ้าใช่หรือไม่?
🔴ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริงใช่หรือไม่?
❤⚠❤⚠❤
❤ ศาสนาอิสลามคืออะไร?
⚠ ศาสนาอิสลามคือการยอมรับและปฏิบัติตามโอวาทคำสอนของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งพระองค์ทรงเปิดเผยต่อพระศาสดาองค์สุดท้ายของพระองค์ นั่นคือ พระมูหะหมัด นั่นเอง.
❤ ความเชื่อพื้นฐานบางประการของศาสนาอิสลาม
⚠1) เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า:
ชาวมุสลิมเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าที่ไม่มีสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้ มีเอกลักษณ์เด่นพิเศษ เพียงพระองค์เดียว ผู้ซึ่งไม่มีพระบุตรหรือบริวาร และไม่มีผู้ใดมีสิทธิ์ที่จะได้รับการสักการบูชา นอกจากพระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้น พระองค์ทรงป็นพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง และพระเจ้าองค์อื่นเป็นของจอมปลอมทั้งสิ้น พระองค์ทรงมีพระนามที่ไพเราะ และมีพระจริยวัตรอันเพียบพร้อมงดงามไม่มีผู้ใดจะมาแบ่งความเป็นพระผู้เป็นเจ้าของพระองค์ หรืพระจริยวัตรของพระองค์ไปได้ ในพระคัมภีร์กุรอาน พระผู้เป็นเจ้าทรงอรรถาธิบายตัวของพระองค์เองไว้ดังนี้:
❤ จงล่าวเถิดมุฮัมมัด พระองค์คืออัลลอฮ์ผู้ทรงเอกกะ อัลลอฮ์นั้นทรงเป็นที่พึ่ง พระองค์ไม่ประสูติ และไม่ทรงถูกประสูติ และไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนพระองค์.” (พระคัมภีร์กุรอ่าน, 112:1-4)
ไม่มีผู้ใดมีสิทธิ์ที่จะได้รับการเอ่ยนาม การอ้อนวอนการบูชา หรือได้รับการแสดงการสักการะบูชา นอกจากพระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงพระ
องค์เดียวเท่านั้น.
พระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียวค
ือผู้มีอำนาจสูงสุด เป็นผู้สร้าง เป็นราชันย์ และเป็นผู้จรรโลงสรรพสิ่งในจักรวาลนี้ พระองค์ทรงจัดการทุกสรรพกิจ พระองค์ทรงประทับอยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสัตว์โลกของพระองค์ และสัตว์โลกทุกหมู่เหล่าต่างต้องพึ่งพาพระองค์สำหรับทุกสิ่งที่พวกเขาต้องการ. พระองค์ทรงสดับทุกสรรพสิ่ง ทรงเห็นทุกสรรพสิ่ง และทรงหยั่งรู้ในทุกสรรพสิ่ง ในหลักการปฏิบัติที่สมบูรณ์แบบ ความรอบรู้ของพระองค์ทรงครอบคลุมเหนือทุกสรรพสิ่ง ทั้งเรื่องที่เปิดเผยและที่เป็นความลับ และต่อสาธารณะชนและที่เป็นส่วนพระองค์ พระองค์ทรงหยั่งรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่จะเกิดขึ้น และจะเกิดขึ้นอย่างไร ไม่มีกิจการใดเกิดขึ้นในโลกใบนี้ได้ เว้นแต่พระองค์ประสงค์จะให้บังเกิดขึ้น . สิ่งใดก็ตามที่พระองค์ประสงค์จะให้เกิด ก็จะต้องบังเกิด และสิ่งใดที่พระองค์ไม่ประสงค์จะให้เกิด ก็จะไม่บังเกิดและจะไม่มีทางบังเกิดขึ้นได้ ความประสงค์ของพระองค์อยู่เหนือความต้องการของสัตว์โลกทั้งปวง พระองค์ทรงมีอำนาจอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง และพระองค์ทรงสามารถกระทำทุกสรรพสิ่ง พระผู้ทรงกรุณาปรานี ผู้ทรงเมตตาเสมอ พระองค์ทรงเป็นผู้โอบอ้อมอารีย์ หนึ่งในพระดำรัสของพระศาสดามูหะหมัด , พวกเราได้รับการบอกเล่าว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงมีพระเมตตาต่อสัตว์โลกของพระองค์มากกว่ามารดาที่เมตตาต่อบุตรเสียอีก.1 พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ห่างไกลจากความอยุติธรรมและการกดขี่ พระองค์ทรงรอบรู้ทุกสรรพสิ่งในการปฏิบัติสรรพกิจและการพิพากษาของพระองค์ หากผู้ใดต้องการบางสิ่งจากพระผู้เป็นเจ้า ผู้นั้นสามารถอ้อนวอนได้จากพระองค์โดยตรงโดยไม่ต้องอ้อนวอนผู้อื่นให้ขอร้องต่อพระผู้เป็นให้กับตน.
พระผู้เป็นเจ้าไม่ใช่พระเยซู และพระเยซูก็ไม่ใช่พระผู้เป็นเจ้า.2 แม้แต่พระเยซูพระองค์เองก็ทรงปฏิเสธในเรื่องนี้ พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตรัสไว้ในพระคัมภีร์กุรอานดังนี้:
แท้จริงบรรดาผู้ที่กล่าวว่า อัลลอฮ์คือ อัล-มะซีห์บุตรของมัรยัมนั้นได้ตกเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว และอัล-มะซีห์ได้กล่าวว่า วงศ์วานอิสรออีลเอ๋ย! จงเคารพอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮ์ผู้เป็นพระเจ้าของฉัน และเป็นพระเจ้าของพวกท่านเถิด แท้จริงผู้ใดให้มีภาแก่อัลลอฮ์ แน่นอนอัลลอฮ์จะทรงให้สวรรค์เป็นที่ต้องห้ามแก่เขา และที่พำนักของเขานั้นคือนรก และสำหรับบรรดาผู้อธรรมนั้นย่อมไม่มีผู้ช่วยเหลือใด ๆ.3” (พระคัมภีร์กุรอ่าน, 5:72)
พระผู้เป็นเจ้าไม่ใช่พระตรีภพ พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตรัสไว้ในพระคัมภีร์กุรอานดังนี้:
แท้จริงบรรดาผู้ที่กล่าวว่า อัลลอฮ์เป็นผู้ที่สามของสามองค์ นั้นได้ตกเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ควรได้รับการเคารพสักการะนอกจากผู้ที่ควรเคารพสักการะองค์เดียวเท่านั้น และหากพวกเขามิหยุดยั้งจากสิ่งที่พวกเขากล่าวแน่นอนบรรดาผู้ที่ปฏิเสธการศรัทธาในหมู่พวกเขานั้นจะต้องประสบการลงโทษอันเจ็บแสบ พวกเขาจะไม่สำนึกผิดกลับเนื้อกลับตัวต่อัลลอฮ์ และขออภัยโทษต่อพระองค์กระนั้นหรือ? และอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษผู้ทรงเอ็นดูเมตตาเสมอ มะซีห์ (พระเยซู) บุตรของมัรยัม นั้นมิใช่ใครอื่นนอกจากเป็นร่อซู้ลคนหนึ่งเท่านั้น... (พระคัมภีร์กุรอ่าน, 5:73-75)
ชาวอิสลามปฏิเสธเรื่องที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างโลกเสร็จภายในเจ็ดวัน พระองค์ทรงต่อสู้กับเทพของพระองค์พระองค์หนึ่ง พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างความขี้อิจฉาในมวลมนุษยชาติ หรือพระองค์ทรงเป็นผู้กลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย อีกทั้งชาวอิสลามยังปฏิเสธเรื่องที่พระผู้เป็นเจ้ามีลักษณะใดๆ เหมือนมนุษย์ ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นการดูถูกเหยียดหยามในพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่เหนือสิ่งอื่นใด พระองค์ทรงอยู่ห่างจากความไม่เพียบพร้อม พระองค์ไม่เคยรู้สึกเหน็ดเหนื่อย พระองค์ไม่เคยเซื่องซึมหรือง่วงเหงาหาวนอน์.
ในภาษาอารบิกคำว่า อัลเลาะห์ หมายความถึง พระผู้เป็นเจ้า (พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงเพียงพระองค์เดียวซึ่งสรรสร้างทั้งจักรวาล) คำว่า อัลเลาะห์คือพระนามของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งนำมาใช้โดยผู้พูดภาษาอารบิก ทั้งชาวอาหรับที่เป็นมุสลิมและอาหรับที่เป็นชาวคริสต์ คำนี้ไม่สามารถนำไปใช้เรียกสิ่งอื่นๆ ได้ นอกจากพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงเพียงพระองค์เดียว ภาษาอารบิก คำว่า อัลเลาะห์ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์กุรอานประมาณ 2700 ครั้ง ในภาษาอารามาอิค ซึ่งเป็นภาษาหนึ่งที่เกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับภาษาอารบิกและเป็นภาษาซึ่งพระเยซูทรงใช้ตรัสเป็นปรกติวิสัย,4พระผู้เป็นเจ้ายังทรงได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นพระอัลเลาะห์อีกด้วย.
❤ 2) ความเชื่อในเรื่องเทพเจ้า:
ชาวมุสลิมมีความเชื่อว่าเทพเจ้ามีอยู่จริง และเชื่อว่าเทพเจ้าเหล่านั้นเป็นผู้ทรงเกียรติ บรรดาเทพเจ้าต่างให้ความเคารพพระผู้เป็นเจ้าพระองค์เดียว เชื่อฟังพระองค์ และปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์เท่านั้น ในบรรดาเทพเจ้าเหล่านั้น เทพเจ้ากาเบรียล คือผู้ซึ่งนำเอาพระคำภีร์กุรอานลงมามอบให้แก่พระมูหะหมัด .
⚠ 3) ความเชื่อในหนังสือที่ทรงเปิดเผยของพระผู้เป็นเจ้า:
ชาวมุสลิมเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยหนังสือให้แก่ผู้ถือสารของพระองค์ไว้เป็นเครื่องพิสูจน์และเป็นเครื่องชี้ทางสำหรับมนุษยชาติ หนึ่งในหนังสือเหล่านี้ได้แก่ พระคัมภีร์กุรอาน ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยแก่พระศาสดามูหะหมัด . พระผู้เป็นเจ้าทรงให้คำรับรองเกี่ยวกับการป้องกันการคดโกงหรือการบิดเบือนข้อเท็จจริงในพระคัมภีร์กุรอาน พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า:
แท้จริงเราได้ให้พระคัมภีร์กุรอานลงมา และแท้จริงเราเป็นผู้รักษามันอย่างแน่นอน. (พระคัมภีร์กุรอาน, 15:9)
❤4) ความเชื่อในพระศาสดาและผู้ถือสารของพระผู้เป็นเจ้า
ชาวมุสลิมเชื่อในพระศาสดาและผู้ถือสารของพระผู้เป็นเจ้า เริ่มจากอาดัมรวมทั้งโนอาห์ อับบราฮัม อิสมาเอล ไอแซ็ค จาค็อบ โมเสส และ พระเยซู (ความสันติย่อมขึ้นอยู่กับทุกพระองค์) แต่สารฉบับสุดท้ายของพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงมอบให้แก่มวลมนุษย์ เป็นการยืนยันอีกครั้งหนึ่งในเรื่องของสารอันเป็นนิรันดร ซึ่งทรงเปิดเผยแก่พระศาสดามูหะหมัด . ชาวมุสลิมเชื่อว่าพระมูหะหมัด ทรงเป็นพระศาสดาองค์สุดท้ายที่ประทานมาจากพระผู้เป็นเจ้า ตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตรัสไว้ว่า:
มุฮัมมัดมิได้เป็นบิดาผู้ใดในหมู่บุรุษของพวกเจ้า แต่เป็นร่อซู้ลของอัลลอฮ์และคนสุดท้ายแห่งบรรดานบี... (พระคัมภีร์กุรอาน, 33:40)
ชาวมุสลิมเชื่อว่าพระศาสดาและผู้ถือสารทั้งหมดได้รับการสรรสร้างให้มาเกิดเป็นมนุษย์ผู้ซึ่งไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติแห่งเทพอย่างพระผู้เป็นเจ้าเลย.
⚠ 5) ความเชื่อในเรื่องวันพิพากษา
ชาวมุสลิมเชื่อในเรื่องวันพิพากษา (วันฟื้นคืนชีพ) เมื่อหมู่มวลมนุษย์จะต้องฟื้นคืนชีวิตมาฟังคำพิพากษาของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งขึ้นอยู่กับความเชื่อและการกระทำของพวกเขา.
❤ 6) ความเชื่อในอัล-เคดาห์
ชาวมุสลิมเชื่อในอัล-เคดาห์ ซึ่งเป็นลิขิตแห่งพระเจ้า แต่ความเชื่อในเรื่องลิขิตแห่งพระเจ้านี้มิได้หมายความว่ามนุษย์จะไม่มีความนึกคิดที่เป็นอิสระ แต่ชาวมุสลิมเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าได้ทรงประทานความนึกคิดที่เป็นอิสระให้กับมนุษย์ ซึ่งหมายความว่าพวกเขาสามารถเลือกทำในสิ่งที่ถูกหรือผิดได้ และพวกเขาเหล่านั้นต้องมีหน้าที่รับผิดชอบในสิ่งที่ตนได้เลือกกระทำไปนั้น.
ความเชื่อในลิขิตแห่งพระเจ้านั้น ได้แก่ ความเชื่อในสี่สิ่งดังต่อไปนี้ 1) พระผู้เป็นเจ้าทรงหยั่งรู้ในทุกสรรพสิ่ง พระองค์ทรงหยั่งรู้ว่าอะไรได้เกิดขึ้นและอะไรจะเกิดขึ้น 2) พระผู้เป็นเจ้าทรงบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดและที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดไว้ 3) อะไรก็ตามที่พระผู้เป็นเจ้าประสงค์จะให้เกิด จะต้องบังเกิดขึ้น และอะไรก็ตามที่พระองค์ไม่ประสงค์จะให้เกิด ก็จะไม่บังเกิดขึ้น 4) พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่ง.
ถัดไป: มีแหล่งข้อมูลอันศักดิ์สิทธิ์อื่นใดนอกเหนือจากพระคัมภีร์กุรอานหรือไม่
❤⚠❤⚠❤
🔴This is Islam briefly
🌍 Description
🔵 These are comprehensive words to show Islam as well as its principles, pillars, advantages and aims.
🔴 This is a key for any person to understand Islam .
❤⚠❤⚠❤
❤ ประโยชน์บางประการของศาสนาอิสลาม
⚠(1) ประตูสู่สรวงสวรรค์ชั่วนิจนิรันดร
❤(2) การช่วยให้พ้นจากขุมนรก
⚠(3) ความเกษมสำราญและความสันติภายในอย่างแท้จริง
❤(4) การให้อภัยต่อบาปที่ผ่านมาทั้งปวง
❤⚠❤⚠❤
❤ สิทธิมนุษยชนและความยุติธรรมในศาสนาอิสลาม
⚠ศาสนาอิสลามกำหนดสิทธิมนุษยชนไว้มากมายสำหรับปัจเจกชน ต่อไปนี้คือสิทธิมนุษยชนบางประการซึ่งศาสนาอิสลามได้ดำรงรักษาไว้.
❤ ชีวิตและทรัพย์สินของพลเมืองทุกคนในรัฐอิสลามถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นชาวมุสลิมหรือไม่ก็ตาม อีกทั้งศาสนาอิสลามยังคงดำรงรักษาไว้ซึ่งเกียรติยศศักดิ์ศรี ดังนั้น ในศาสนาอิสลาม การพูดจาจาบจ้วงผู้อื่นหรือกระทำการล้อเลียนต่อผู้อื่นถือเป็นสิ่งที่กระทำมิได้ พระศาสดามูหะหมัด ได้ทรงตรัสไว้ว่า {แท้ที่จริงแล้วเลือดเนื้อของพวกเจ้า ทรัพย์สินของพวกเจ้าและเกียรติยศของพวกเจ้าจะล่วงละเมิดมิได้.}
⚠ การเหยียดสีผิวจะกระทำมิได้ในศาสนาอิสลาม เนื่องจากในพระคัมภีร์กุรอานได้กล่าวถึงความเสมอภาคของมนุษย์ตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้:
❤ โอ้มนุษยชาติทั้งหลาย แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้าจากเพศชาย และเพศหญิง และเราได้ให้พวกเจ้าแยกเป็นเผ่า และตระกูลเพื่อจะได้รู้จักกัน แท้จริงผู้ที่มีเกียรติยิ่งในหมู่พวกเจ้า ณ ที่อัลลอฮ์นั้น คือผู้ที่มีความยำเกรงยิ่งในหมู่พวกเจ้า แท้จริงอัลลอฮ์นั้นเป็นผู้ทรงรอบรู้อย่างละเอียดถี่ถ้วน.2. (พระคัมภีร์กุรอาน, 49:13)
⚠ ศาสนาอิสลามปฏิเสธการกำหนดกลุ่มปัจเจกชนคนใดหรือชนชาติใดให้เป็นที่โปรดปรานเป็นพิเศษ อันเนื่องมาจากความมั่งคั่ง อำนาจ หรือเชื้อชาติของพวกเขาเหล่านั้น พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างหมู่มวลมนุษย์ขึ้นมาให้มีความเท่าเทียมกัน ซึ่งจะมีความแตกต่างกันก็แต่เฉพาะพื้นฐานของความศรัทธาและความเลื่อมใสในศาสนาเท่านั้น พระศาสดามูหะหมัด ทรงตรัสไว้ว่า {โอ มนุษย์ทั้งหลาย! พระผู้เป็นเจ้าของพวกเธอก็เป็นพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกันและบรรพบุรุษของพวกเธอ (อาดัม) ก็เป็นบรรพบุรุษคนเดียวกัน ชนชาติอาหรับก็ไม่ดีไปกว่าชนชาติที่ไม่ใช่อาหรับและชนชาติที่ไม่ใช่อาหรับก็ไม่ดีไปกว่าชนชาติอาหรับ และบุคคลผิวสีแดง (เช่น สีขาวแต่งแต้มไว้ด้วยสีแดง)ก็ไม่ดีไปกว่าบุคคลที่มีผิวสีดำและบุคคลที่มีผิวสีดำก็ไม่ดีไปกว่าบุคคลที่มีผิวสีแดง,3 ยกเว้นในเรื่องของความเลื่อมใสในศาสนา.}
❤ ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งในปัญหาสำคัญอื่นๆ ที่มนุษยชาติต่างประสบอยู่ทุกวันนี้ก็คือลัทธิการเหยียดสีผิว ประเทศที่พัฒนาแล้วสามารถส่งมนุษย์ขึ้นไปยังดวงจันทร์ได้ แต่ไม่สามารถห้ามมนุษย์ให้เกลียดชังและต่อสู้กับมนุษย์ร่วมโลกได้ นับตั้งแต่ช่วงชีวิตพระศาสดามูหะหมัด , เป็นต้นมา ศาสนาอิสลามได้แสดงให้เห็นด้วยตัวอย่างที่ชัดเจนว่าสามารถยุติลัทธิเหยียดสีผิวนั้นได้อย่างไร การแสวงบุญในแต่ละปี (ฮัจจ์)ที่นครเมกกะห์แสดงให้เห็นถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างแท้จริงของพี่น้องชาวมุสลิมทุกเชื้อชาติและชนชั้น เมื่อชาวมุสลิมประมาณสองล้านคนจากทั่วทุกมุมโลกมาชุมนุมกันที่นครเมกกะห์เพื่อแสวงบุญดังกล่าว.
❤ ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาแห่งความยุติธรรม พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสไว้ว่า:
⚠ แท้จริงอัลลอฮ์ทรงใช้พวกเจ้าให้มอบคืนบรรดาของฝากแก่เจ้าของของมัน และเมื่อพวกเจ้าตัดสินระหว่างผู้คน พวกเจ้าก็จะต้องตัดสินด้วยความยุติธรรม.... (พระคัมภีร์กุรอาน, 4:58)
❤ และพระองค์ยังทรงตรัสอีกว่า:
⚠ ...และพวกเจ้าจงให้ความเที่ยงธรรมเถิด แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรักใคร่บรรดาผู้ให้ความเที่ยงธรรม. (พระคัมภีร์กุรอาน, 49:9)
❤ พวกเราควรยุติธรรมแม้กระทั่งกับบุคคลผู้ซึ่งพวกเราต่างเกลียดชัง ตามที่พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสไว้ว่า:
⚠ ...และจงอย่าให้การเกลียดชังพวกหนึ่งพวกใด ทำให้พวกเจ้าไม่ยุติธรรม จงยุติธรรมเถิด มันเป็นสิ่งที่ใกล้กับความยำเกรงยิ่งกว่า.... (พระคัมภีร์กุรอาน, 5:8)
❤ พระศาสดามูหะหมัดทรงตรัสไว้ว่า {มนุษย์ทั้งหลาย จงระวังในเรื่องความอยุติธรรม,5 เนื่องจากความอยุติธรรมนั้นจะมีแต่ความมืดมิดในวันพิพากษาโลก.}
⚠ และบุคคลผู้ซึ่งไม่เคยมีสิทธิใดๆ เลย (เช่น สิ่งที่พวกเขามีสิทธิ์ร้องขออย่างยุติธรรม) ในชีวิตนี้จะได้รับสิทธิต่างๆ ในวันพิพากษา อย่างที่พระศาสาดา ทรงตรัสไว้ว่า {ในวันพิพากษาโลก สิทธิต่างๆ จะมอบให้แก่บุคคลเหล่านั้นเมื่อบุคคลเหล่านั้นถึงกำหนดได้รับ (และความไม่ถูกต้องจะได้รับการชดใช้)....}
⚠❤⚠❤⚠
❤ ศาสนาอิสลามกล่าวถึงลัทธิผู้ก่อการร้ายว่าอย่างไร?
⚠ ศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาที่เปี่ยมล้นไปด้วยเมตตาธรรมศาสนาหนึ่ง ไม่เคยเห็นด้วยกับลัทธิก่อการร้าย ในพระคัมภีร์กุรอาน พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตรัสไว้ว่า:
❤ อัลลอฮ์มิได้ทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่มิได้ต่อต้านพวกเจ้าในเรื่องศาสนา และพวกเขามิได้ขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้า ในการที่พวกเจ้าจะทำความดีแก่พวกเขา และให้ความยุติธรรมแก่พวกเขา แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรักผู้มีความยุติธรรม. (คัมภีร์กุรอาน, 60:8)
⚠ พระศาสดามูหะหมัด ทรงเคยสั่งห้ามเหล่าทหารหาญไม่ให้เข่นฆ่าบรรดาสตรีและเด็ก ๆ,1 และพระองค์ทรงแนะนำพวกเขาเหล่านั้นว่า {…จงอย่าคิดคดทรยศ จงอย่าทำอะไรมากเกินไปกว่าความจำเป็น จงอย่าเข่นฆ่าเด็กแรกเกิด}2 และพระองค์ยังทรงตรัสอีกด้วยว่า {ผู้ใดก็ตามเข่นฆ่าบุคคลผู้ซึ่งให้การทำนุบำรุงช่วยเหลือชาวมุสลิมจะไม่ได้สัมผัสกลิ่นอายอันหอมรัญจวนของสรวงสวรรค์ แม้ว่ากลิ่นอายดังกล่าวจะขจรขจายอยู่เป็นเวลาถึงสี่สิบปีก็ตาม}
❤ อีกทั้ง พระศาสดามูหะหมัด ยังได้สั่งห้ามมิให้มีการลงโทษด้วยการเผาไฟอีกด้วย.
⚠ ครั้งหนึ่งพระองค์ทรงเคยลงบัญชีฆาตกรให้อยู่เพียงลำดับที่สองของบาปมหันต์,5 และพระองค์ยังเคยเตือนเกี่ยวกับวันพิพากษา {คดีแรกๆ ที่จะได้รับการตัดสินของบรรดาผู้คนในวันพิพากษาโลกนั้นจะเป็นคดีเกี่ยวกับการเข่นฆ่ากันตาย.6}
❤ ชาวมุสลิมยังได้รับการส่งเสริมให้มีความกรุณาต่อสัตว์และห้ามทำร้ายสัตว์อีกด้วย ครั้งหนึ่งพระศาสดามูหะหมัด ได้ทรงตรัสไว้ว่า {สตรีผู้หนึ่งได้รับการลงโทษเนื่องจากเธอกักขังแมวตัวหนึ่งจนตาย ในการตัดสินเรื่องนี้ เธอถูกพิพากษาให้ลงไปสู่ขุมนรก ขณะที่เธอกักขังแมวตัวนั้น เธอไม่เคยให้อาหารหรือน้ำแก่มันเลย หรือแม้กระทั่งปล่อยให้มันออกมาจับสัตว์กินเป็นอาหารก็หาไม่.}
⚠ พระองค์ยังทรงตรัสอีกด้วยว่า มนุษย์ผู้หนึ่งได้ให้น้ำดื่มแก่สุนัขที่หิวกระหายเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น พระผู้เป็นเจ้าจึงยกโทษบาปทั้งปวงของเขาเนื่องจากการกระทำในครั้งนี้ มีคนทูลถามพระศาสดา ว่า ”ผู้ถือสารจากพระผู้เป็นเจ้า พวกเราจะได้รับการตอบแทนสำหรับความกรุณาที่มีให้ต่อสรรพสัตว์หรือไม่พระเจ้าค่ะ” พระองค์ทรงตรัสว่า {สิ่งตอบแทนมีไว้สำหรับความกรุณาที่มีต่อทั้งคนหรือสัตว์.}
❤ นอกจากนี้ การนำเอาชีวิตของสัตว์มาเป็นอาหาร ชาวมุสลิมยังได้รับคำบัญชาให้กระทำอย่างนิ่มนวลโดยให้สัตว์นั้นหวาดกลัวและทรมานน้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ พระศาสดามูหะหมัดั ไ ด้ทรงตรัสไว้ว่า {เมื่อพวกเจ้าฆ่าสัตว์ ให้กระทำด้วยวิธีที่เหมาะสมที่สุด ผู้นั้นควรลับมีดของเขาให้คมกริบเพื่อช่วยลดความทุกข์ทรมานของสัตว์.}
❤⚠❤⚠❤
❤สถานภาพของสตรีในศาสนาอิสลามเป็นอย่างไร?
⚠ ศาสนาอิสลามมองสตรี ไม่ว่าโสดหรือสมรสแล้วอย่างบุคคลทั่วๆ ไปที่มีสิทธิเป็นของตัวเอง, พร้อมทั้งมีสิทธิในความเป็นเจ้าของหรือจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินและสิ่งที่ตนหามาได้โดยปราศจากอำนาจการปกครองใดๆ (ไม่ว่าจะเป็นบิดา สามี หรือบุคคลอื่น) เธอมีสิทธิ์ที่จะซื้อหรือขาย ให้เป็นของขวัญและบริจาคการกุศล และอาจใช้จ่ายเงินของตนได้อย่างที่ตนพอใจ สินสอดทองหมั้นที่ได้รับมาจากการที่เจ้าบ่าวมอบให้แก่เจ้าสาวเพื่อใช้สอยเป็นการส่วนตัวของเธอเอง และสตรียังสามารถใช้นามสกุลของตนเองได้โดยไม่ต้องใช้นามสกุลของสามีได้อีกด้วย
❤ ศาสนาอิสลามยังส่งเสริมให้สามีเลี้ยงดูภรรยาให้ดี อย่างที่พระศาสดามูหะหมัด ทรงตรัสว่า {บุคคลที่ดีที่สุดในบรรดาพวกเจ้าก็คือบุคคลซึ่งดีที่สุดต่อภรรยาของตนเอง}
⚠ ผู้เป็นมารดาในศาสนาอิสลามถือเป็นผู้มีเกียรติอย่างสูง ศาสนาอิสลามแนะนำให้เลี้ยงดูมารดาด้วยวิธีที่ดีที่สุด บุรุษผู้หนึ่งเข้าหาพระศาสดามูหะหมัด และทูลถามว่า “โอ ผู้ถือสารจากพระผู้เป็นเจ้า! ผู้ใดในบรรดาผู้คนทั้งหลาย ควรค่าที่จะเป็นสหายที่ดีของข้าพเจ้าที่สุดพระเจ้าค่ะ” พระศาสดา ทรงตรัสว่า {มารดาของเจ้านะซิ} บุรุษผู้นั้นทูลถามอีกว่า “ใครกันนะ” พระศาสดา ทรงตรัสว่า {ก็มารดาของเจ้านะซิ} บุรุษผู้นั้นยังคงทูลถามต่อไปอีกว่า “ใครกันนะ” พระศาสดา ทรงตรัสว่า {ก็มารดาของเจ้านะซิ} บุรุษผู้นั้นทูลซ้ำอีกว่า “ใครกันนะ” พระศาสดา ทรงตรัสอีกว่า: {ก็มารดาของเจ้านะซิ.}
⚠❤⚠❤⚠
❤ ครอบครัวในศาสนาอิสลาม
⚠ ครอบครัว ถือเป็นสถาบันขั้นพื้นฐานของสังคม ซึ่งปัจจุบันกำลังแตกแยก ระบบครอบครัวในศาสนาอิสลามได้นำสิทธิของสามี ภรรยา บุตร และญาติพี่น้องเข้ามาสู่ดุลยภาพที่สมบูรณ์ ด้วยการส่งเสริมความประพฤติที่ไม่เห็นแก่ตัว โอบอ้อมอารีและความรักในโครงสร้างของระบบครอบครัวที่มีการจัดการอย่างดี ความสงบสุขและความมั่นคงที่ได้รับมาจากสถาบันครอบครัวที่แข็งแกร่งถือว่ามีคุณค่าอย่างมหาศาล และถูกมองว่าเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งสำหรับการปลูกฝังทางด้านจิตใจในหมู่มวลสมาชิกของครอบครัว ความเป็นระเบียบของสังคมที่สมานฉันท์ควรได้รับการสรรสร้างจากสมาชิกในครอบครัวใหญ่ที่มีความใกล้ชิดกันและจากบุตรผู้สืบสกุล.
❤⚠❤⚠❤
❤ ชาวมุสลิมปฏิบัติต่อผู้สูงอายุอย่างไร?
⚠ ในโลกของศาสนาอิสลาม จะไม่ค่อยได้พบเห็น “บ้านพักคนชรา” การดูแลบิดามารดาของเราในช่วงเวลาที่ลำบากที่สุดในชีวิตของพวกท่านเช่นนี้ถือว่าเป็นเกียรติและเป็นคุณงามความดี อีกทั้งยังถือเป็นโอกาสในการพัฒนาจิตใจที่ยิ่งใหญ่อีกด้วย ในศาสนาอิสลาม ถือว่ายังไม่เป็นการเพียงพอที่พวกเราเพียงแต่สวดมนต์ภาวนาให้กับบิดามารดาของพวกเรา แต่พวกเราควรจะปฏิบัติด้วยความโอบอ้อมอารีอย่างไร้ที่สิ้นสุด จำไว้ว่าเมื่อตอนที่พวกเรายังเป็นเด็กเล็กช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พวกเขาเลี้ยงดูพวกเราด้วยตัวของท่านเอง มารดาเป็นผู้ที่สมควรได้รับการยกย่องเป็นอย่างยิ่ง เมื่อบิดามารดาชาวมุสลิมแก่ชราลงท่านจะได้รับการเลี้ยงดูอย่างทนุถนอมด้วยความเมตตาและความไม่เห็นแก่ตัว.
❤ในศาสนาอิสลาม การเลี้ยงดูบิดามารดาถือเป็นหน้าที่อันดับที่สองรองจากการทำละหมาด และถือเป็นสิทธิของบิดามาดาที่จะคาดหวังว่าจะได้รับการดูแล ถือกันว่าเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจเดียจฉันท์ในการแสดงความฉุนเฉียวใดๆ เมื่อผู้เฒ่าชราเริ่มทำอะไรลำบาก.
⚠ พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า:
❤ และพระเจ้าของเจ้าบัญชาว่า พวกเจ้าอย่าเคารพภักดีผู้ใดนอกจากพระองค์เท่านั้นและจงทำดีต่อบิดามารดาเมื่อผู้ใดในทั้งสองหรือทั้งสองบรรลุสู่วัยชราอยู่กับเจ้า ดังนั้นอย่ากล่าวแก่ทั้งสองว่า และอย่าขู่เข็ญท่านทั้งสอง และจงพูดแก่ท่านทั้งสองด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยน และจงนอบน้อมแก่ท่านทั้งสอง ซึ่งการถ่อมตนเนื่องจากความเมตตา และจงกล่าวว่า ข้าแต่พระเจ้าของฉัน ทรงโปรดเมตตาแก่ท่านทั้งสองเช่นที่ทั้งสองได้เลี้ยงดูฉันเมื่อเยาว์วัย.” (พระคัมภีร์กุรอาน, 17:23-24)
❤⚠❤⚠❤
❤ ชาวมุสลิมมีความเชื่อเกี่ยวกับพระเยซูอย่างไร?
⚠ ชาวมุสลิมให้ความเคารพและนับถือพระเยซู (ความสันติบังเกิดมาจากพระองค์) พวกเขายอมรับว่าพระองค์คือหนึ่งในผู้ถือสารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระผู้เป็นเจ้ามาสู่มวลมนุษยชาติ พระคัมภีร์กุรอานได้ยืนยันถึงการประสูติอย่างบริสุทธิ์ของพระองค์และมีอยู่บทหนึ่งในพระคัมภีร์กุรอานที่ชื่อว่า ‘มัรยัม’ (แมรี่) พระคัมภีร์กุรอานได้อรรถาธิบายถึงการประสูติของพระเยซูดังนี้:
❤ จงรำลึกถึงขณะที่มลาอิกะฮ์กล่าวว่า มัรยัมเอ๋ย ! แท้จริงอัลลอฮ์ทรงแจ้งข่าวดีแก่เธอซึ่งพจมานหนึ่ง จากพระองค์ ชื่อของเขาคือ อัลมะซีห์ อีซาบุตรของมัรยัม โดยที่เขาจะเป็นผู้มีเกียรติในโลกนี้ และปรโลก และจะอยู่ในหมู่ผู้ใกล้ชิด.” (พระคัมภีร์กุรอาน , 3:45-47)
⚠ พระเยซูทรงประสูติอย่างมหัศจรรย์โดยคำบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเป็นคำบัญชาเดียวกันที่ได้นำพาให้ อาดัมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยไม่ว่าจะเป็นพระบิดาหรือพระมารดา พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า:
❤ แท้จริงอุปมาของอีซานั้น ดั่งอุปมัยของอาดัม พระองค์ทรงบังเกิดเขาจากดิน และได้ทรงประปาศิตแก่เขาว่าจงเป็นขึ้นเถิด แล้วเขาก็เป็นขึ้น. (พระคัมภีร์กุรอาน, 3:59)
⚠ ในช่วงระยะเวลาของการทำหน้าที่พระศาสดานั้น พระเยซูได้ทรงแสดงปาฏิหาริย์มากมาย พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสให้พวกเราฟังว่าพระเยซูทรงตรัสว่า:
❤ “และเป็นฑูต (นบีอีซา) ไปยังวงศ์วานอีสรออีล (โดยที่เขาจะกล่าวว่า) แท้จริงนั้นได้นำสัญญาณหนึ่งจากพระเจ้าของพวกท่านมายังพวกท่านโดยที่ฉันจะจำลองขึ้นจากดินให้แก่พวกท่านดั่งรูปนก แล้วฉันจะเป่าเข้าไปในมัน แล้วมันก็จะกลายเป็นนกด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์ และฉันจะรักษาคนตาบอดแต่กำเนิด และคนเป็นโรคเรื้อน และฉันจะให้ผู้ที่ตายแล้วมีชีวิตขึ้น ด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์ และฉันจะบอกพวกท่านถึงสิ่งที่พวกท่านไว้ในบ้านของพวกท่าน...” (พระคัมภีร์กุรอาน, 3:49)
⚠ ชาวมุสลิมเชื่อว่าพระเยซูไม่ได้สิ้นพระชนม์ด้วยการถูกตรึงบนไม้กางเขน เป็นเพียงแผนการของเหล่าปัจจามิตรของพระเยซูที่จะตรึงกางเขนพระองค์ แต่พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยให้พระองค์ปลอดภัยและทรงนำพระเยซูขึ้นไปเฝ้าพระองค์ และนำบุคคลิกลักษณะของพระเยซูใส่เข้าไปในร่างของอีกคนหนึ่ง หมู่ปัจจามิตรของพระเยซูจึงนำร่างของบุรุษผู้นี้ไปตรึงกางเขนแทน โดยคิดว่าเขาผู้นั้นคือพระเยซู พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสว่า:
❤...และการที่พวกเขากล่าวว่า แท้จริงพวกเราได้ฆ่า อัล-มะซีห อีซา บุตรของมัรยัม ร่อซู้ลของอัลลอฮ์ และพวกเขาหาได้ฆ่าอีซา และหาได้ตรึงเขาบนไม้กางเขนไม่ แต่ทว่าเขาถูกให้เหมือนแก้พวกเขา และแท้จริงบรรดาผู้ที่ขัดแย้งในตัวเขานั้น แน่นอนย่อมอยู่ในความสงสัยเกี่ยวกับเขา พวกเขาหามีความรู้ใดๆ ต่อเขาไม่ นอกจากคล้อยตามความนึกคิดเท่านั้น และพวกเขามิได้ฆ่าเขาด้วยความแน่ใจ (อีซา)... (คัมภีร์กุรอาน, 4:157)
⚠ ทั้งพระมูหะหมัด และพระเยซูไม่ใช่ผู้มาเปลี่ยนแปลงคำสอนเบื้องต้นในการศรัทธาพระผู้เป็นเจ้าพระองค์เดียว ซึ่งนำมาสั่งสอนโดยพระศาสดาองค์ก่อนๆ แต่กลับเป็นผู้มายืนยันและนำคำสอนนั้นมาสอนใหม่ต่างหาก.
⚠❤⚠❤⚠
❤ การแพร่ขยายของศาสนาอิสลามมีผลต่อการพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์อย่างไร?
⚠ ศาสนาอิสลามสอนให้มนุษย์รู้จักใช้พลังสติปัญญาและการสังเกต ภายในสองสามปีของการแพร่ขยายของศาสนาอิสลาม . ความเจริญรุ่งเรืองและแหล่งแสวงหาความรู้เฟื่องฟูเป็นอย่างมาก เป็นการผสมผสานแนวความคิดของชาวตะวันออกและชาวตะวันตกเข้าด้วยกัน และความคิดใหม่กับความคิดเก่า อันนำมาซึ่งความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่ทั้งในด้านการแพทย์ คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ สถาปัตยกรรม ศิลป วรรณกรรม และประวัติศาสตร์ เกิดระบบที่สำคัญหลายอย่าง เช่น พืชคณิต ตัวเลขอารบิก และแนวคิดในเรื่องความเป็นศูนย์ (ซึ่งสำคัญต่อการเจริญก้าวหน้าของเรื่องคณิตศาสตร์) ทั้งหมดนี้ได้รับการถ่ายทอดจากโลกมุสลิมไปยังยุโรปสมัยกลาง เครื่องมือที่มีความสลับซับซ้อนซึ่งทำให้ชาวยุโรปสามารถเดินเรือไปค้นพบสิ่งต่างๆ เช่น เครื่องมือวัดตำแหน่งของดวงดาว เครื่องมือวัดมุม และแผนที่การเดินเรือที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งทั้งหมดได้รับการพัฒนามาจากชาวมุสลิมทั้งสิ้น.
❤⚠❤⚠❤
❤ ความเกษมสำราญและความสันติภายในอย่างแท้จริง
⚠ความเกษมสำราญและความสันติที่แท้จริง สามารถค้นพบได้โดยเชื่อฟังคำบัญชาของพระผู้สร้างและพระผู้จรรโลงโลก พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสไว้ในพระคัมภีร์กุรอานดังนี้
❤ บรรดาผู้ศรัทธา และจิตใจของพวกเขาสงบด้วยการรำลึกถึงอัลลอฮ์ พึงทราบเถิด! ด้วยการรำลึกถึงอัลลอฮ์เท่านั้นทำให้จิตใจสงบ. (พระคัมภีร์กุรอาน, 13:28)
⚠ อีกนัยหนึ่ง ผู้ซึ่งหันหลังให้กับพระคัมภีร์กุรอานจะมีชีวิตที่ยากลำบากในโลกนี้ พระผู้เป็นเจ้าทรงตรัสไว้ว่า:
❤ และผู้ใดผินหลังให้พระคัมภีร์กุรอาน ,1 แท้จริงสำหรับเขาคือ การมีชีวิตอยู่อย่างคับแค้นและเราจะให้เขาฟื้นคืนชีพในวันกิยามะฮ์ในสภาพของคนตาบอด. (พระคัมภีร์ , 20:124)
⚠ ดังเช่นที่กล่าวมานี้อาจอธิบายได้ว่า ทำไมใครบางคนจึงตัดสินใจทำอัตวิบากกรรมทั้งที่พวกเขายังมีความเพลิดเพลินอยู่กับทรัพย์สินศฤงคารที่เงินตราสามารถซื้อหามาได้ ดูตัวอย่างเช่น Cat Stevens (ปัจจุบันได้แก่ Yusuf Islam) อดีตนักร้องเพลงป๊อปผู้โด่งดังซึ่งบางครั้งเคยมีรายได้มากกว่า 150,000 เหรียญสหรัฐต่อคืนเลยทีเดียว ภายหลังที่เขาหันมานับถือศาสนาอิสลาม เขาได้พบกับความเกษมสำราญและความสันติที่แท้จริง ซึ่งเขาไม่เคยพบในความสำเร็จทางวัตถุนี้เลย .
⚠❤⚠❤⚠
❤ คู่มือเข้าใจอิสลามอย่างง่าย พร้อมภาพประกอบ
⚠ คำอธิบาย
❤ หนังสือเพื่อการแนะนำศาสนาอิสลาม เหมาะสำหรับผู้สนใจอิสลามทุกคน บรรจุด้วยข้อมูลเกี่ยวกับความมหัศจรรย์ทางวิทยาศาสตร์ที่ปรากฏในอัลกุรอานและซุนนะฮฺ โดยการวิเคราะห์ในเชิงวิชาการ พร้อมภาพประกอบการอธิบายอย่างเป็นขั้นตอน
❤⚠❤⚠❤
❤ บุคคลหนึ่งจะกลายเป็นชาวมุสลิมได้อย่างไร?
⚠ เพียงแค่กล่าวด้วยศรัทธาแรงกล้าว่า “La ilaha illa Allah, Muhammadur rasoolu Allah”บุคคลหนึ่งซึ่งเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามและกลายเป็นชาวมุสลิม (ฟังเสียง คลิกที่นี่). คำกล่าวนี้หมายความว่า “ไม่มีพระผู้เป็นเจ้า (เทพเจ้า) ที่แท้จริง นอกจากพระผู้เป็นเจ้า (พระอัลเลาะห์),1และพระมูหะหมัดคือผู้ถือสาร (พระศาสดา) ของพระผู้เป็นเจ้า” ในส่วนแรกคำว่า “ไม่มีพระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงอื่นใดนอกจากพระผู้เป็นเจ้า” หมายความว่าไม่มีผู้ใดมีสิทธิ์ที่จะได้รับการเคารพบูชานอกจากพระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียว และพระผู้เป็นเจ้าทรงไม่มีทั้งบริวารหรือพระบุตร การเป็นชาวมุสลิม บุคคลนั้นควรปฏิบัติต่อไปนี้อีกด้วย:
➡ เชื่อว่าพระคัมภีร์กุรอานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นพระดำรัสของพระผู้เป็นเจ้าโดยแท้ ซึ่งพระองค์ทรงเป็นผู้เปิดเผย.
➡ เชื่อว่าวันพิพากษา (วันฟื้นคืนชีพ) เป็นความจริงและจะมาถึง ตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ในพระคัมภีร์กุรอาน.
➡ ยอมรับศาสนาอิสลามเป็นศาสนาของตนเอง
➡ ไม่เคารพบูชาสิ่งอื่นใดหรือบุคคลใดนอกจากพระผู้เป็นเจ้า.
❤ พระศาสดามูหะหมัด ทรงตรัสว่า: {พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดการสารภาพบาปของบุคคลใดบุคคลหนึ่งเมื่อเขาหันมาหาพระองค์เพื่อสารภาพบาปมากกว่าใครคนใดคนหนึ่งในพวกเจ้าที่จะทำเช่นนั้น สมมติว่าเขาขี่อูฐเข้าไปในป่ารกชัฏ และมันได้วิ่งหนีไปจากเขา นำเอาอาหารและน้ำดื่มของเขาไปด้วย ดังนั้น เขาจึงสูญสิ้นความหวังไปอย่างสิ้นเชิงในการได้อูฐกลับมา เขาจึงเดินไปยังต้นไม้และนอนแผ่หลาอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ดังกล่าว (เพื่อรอความตาย) เนื่องจากเขาสูญสิ้นความหวังทั้งหมดที่จะพบอูฐของเขา ต่อมา ขณะที่เขาอยู่ในสภาวะดังกล่าว (สิ้นหวัง) ทันใดนั้น อูฐตัวนั้นได้มาอยู่ตรงหน้าเขา! ดังนั้นเขาจึงคว้าเชือกผูกอูฐเอาไว้และร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความปิติตื้นตัน “โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์คือข้ารับใช้ของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าคือเจ้านายของพระองค์” ความผิดพลาดของเขาเกิดขึ้นจากความปิติอันเปี่ยมล้นของเขานั่นเอง.}
❤⚠❤⚠❤
❤ หลัก 10 ประการที่ทำให้สูญเสียความเป็นมุสลิม
⚠ คำอธิบาย
❤ บทความที่อธิบายหลักต่างๆ จำนวน 10 ประการที่เป็นสาเหตุให้มุสลิมคนหนึ่งสูญสิ้นสภาพการเป็นมุสลิม ซึ่งเป็นสิ่งที่สุ่มเสี่ยงและจำเป็นที่จะต้องระวังตนให้มากที่สุด และควรจะต้องศึกษาทำความเข้าใจให้ละเอียดและถ่องแท้เพื่อจะได้ไม่ตกลงไปหลุมพรางที่อันตรายนี้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น